ผมออกเดินทางจากชุมพร ในตอนเช้าของวันที่ 22 ตุลาคม 2559 หลังจากที่หยุดงาน หยุดการทำรายการมาประมาณสิบวัน นับจากวันที่แผ่นดินร้องไห้ วันที่ในหลวงท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย เป็นเหตุการณ์ที่ทำใจยากจริงๆ ตอนแรก ผมตัั้งใจจะเขียนเล่าเรื่องราวทุกวัน เมื่อถึงที่พัก แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายขนาดนั้น ด้วยหลายเหตุหลายปัจจัย (ขณะที่มาเขียนต่อ ก็ ล่วง เข้าวันที่ 4 ของการเดินทางแล้ว)
รถมิตซูบิชิ สเปชวากอน คันเก่า อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าเหม ลูกชายคนโตของผม บรรทุกสัมภาระเต็มกำลังที่สามารถจะบรรจุลงไปได้ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบบวมเป่งเหมือนคนท้องแก่ใกล้คลอดสุมทับซ้อนกันอยูโซนหลังรถ เสริมด้วยกระเป๋าใบน้อยอีกสองสามใบ และกระเป๋าเต้นท์เผื่อได้ใช้กางนอนบนดอยถ้ามีโอกาส เว้นที่นั่งไว้สำหรับ 4 ชีวิตพร้อมคนขับ ที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวในวันที่จิตใจหดหู่เช่นนี้ เหมือนกับไปเติมพลังใจกันสักนิดจุดหมายปลายทางที่วางไว้ คือ เชียงใหม่ ปาย ภูเรือ และ จะแวะที่สนามหลวงในตอนขากลับ เพื่อถวายความอาลัยแด่พระองค์ท่าน โดยการเดินทางครั้งนี้จะแตกต่างจากวิถีชีวิตเดิมๆ ของผม ที่เวลาเดินทางไปไหนจะต้องใช้รถโอบี คันสีขาว-ส้ม (ที่เห็นอยู่ด้านหลัง) เพราะจะต้องอัดรายการ อัดสปอตทุกวัน แต่ครั้งนี้ สถานีวิทยุ สถานีทีวีทุกช่องหยุดออกอากาศรายการปกติเป็นเวลา 1 เดือน ผมจึงหยุดการอัดรายการแหลงข่าวชาวบ้าน เป็นเวลา 1 เดือนด้วย เลยได้โอกาสพาลูกๆเดินทาง กับวันปิดภาคเรียนที่ยังเหลือ อยู่อีก ประมาณ 10 วัน
พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูก (ผม-หมวย-เหม-รอน) ออกเดินทางจากชุมพรท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึม ตลอดเส้นทาง ความเศร้ายังอบอวลอยู่ทั่วไป ทุกใบหน้าของผู้คนที่เราพานพบแฝงความเงียบขรึม ภายใต้การแต่งกายโทนสีขาวดำเพื่อถวายความอาลัยแด่พ่อของแผ่นดิน นับถึงวันนี้ เป็นเวลาสิบวันแล้วที่พระองค์ท่าน จากพวกเราไป
รถมิตซูบิชิ สเปชวากอน คันเก่า อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าเหม ลูกชายคนโตของผม บรรทุกสัมภาระเต็มกำลังที่สามารถจะบรรจุลงไปได้ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบบวมเป่งเหมือนคนท้องแก่ใกล้คลอดสุมทับซ้อนกันอยูโซนหลังรถ เสริมด้วยกระเป๋าใบน้อยอีกสองสามใบ และกระเป๋าเต้นท์เผื่อได้ใช้กางนอนบนดอยถ้ามีโอกาส เว้นที่นั่งไว้สำหรับ 4 ชีวิตพร้อมคนขับ ที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวในวันที่จิตใจหดหู่เช่นนี้ เหมือนกับไปเติมพลังใจกันสักนิดจุดหมายปลายทางที่วางไว้ คือ เชียงใหม่ ปาย ภูเรือ และ จะแวะที่สนามหลวงในตอนขากลับ เพื่อถวายความอาลัยแด่พระองค์ท่าน โดยการเดินทางครั้งนี้จะแตกต่างจากวิถีชีวิตเดิมๆ ของผม ที่เวลาเดินทางไปไหนจะต้องใช้รถโอบี คันสีขาว-ส้ม (ที่เห็นอยู่ด้านหลัง) เพราะจะต้องอัดรายการ อัดสปอตทุกวัน แต่ครั้งนี้ สถานีวิทยุ สถานีทีวีทุกช่องหยุดออกอากาศรายการปกติเป็นเวลา 1 เดือน ผมจึงหยุดการอัดรายการแหลงข่าวชาวบ้าน เป็นเวลา 1 เดือนด้วย เลยได้โอกาสพาลูกๆเดินทาง กับวันปิดภาคเรียนที่ยังเหลือ อยู่อีก ประมาณ 10 วัน
พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูก (ผม-หมวย-เหม-รอน) ออกเดินทางจากชุมพรท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึม ตลอดเส้นทาง ความเศร้ายังอบอวลอยู่ทั่วไป ทุกใบหน้าของผู้คนที่เราพานพบแฝงความเงียบขรึม ภายใต้การแต่งกายโทนสีขาวดำเพื่อถวายความอาลัยแด่พ่อของแผ่นดิน นับถึงวันนี้ เป็นเวลาสิบวันแล้วที่พระองค์ท่าน จากพวกเราไป
ผมพยายามสลัดความหดหู่หัวใจ ความรู้สึกเหงาๆ เศร้าๆ ออกไปบ้าง ใช้สมาธิอยู่กับถนนเบื้องหน้า หลายเบี่ยงหลายโค้งบนถนนเพชรเกษม ยังคงปรับปรุงเส้นทางอยู่ ขับมาเรื่อยๆไม่รีบร้อนอะไร จนเลยจังหวัดเพชรบุรี ตัดสินใจหลีกเลี่ยงเส้นทางเข้ากรุงเทพ เมื่อเห็นปริมาณรถที่หนาแน่นเหลือเกิน ผมมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางสายตะวันตก ผ่านจังหวัดราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี เข้าชัยนาท ไปออกนครสวรรค์ ภายในรถบรรยากาศเดิมๆ เหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้วเริ่มกลับมา ผมมองผ่านกระจกมองหลัง แล้วแอบอมยิ้มนิดๆ รถคันเก่าพื้นที่เท่าเดิม แต่เด็กๆ โตขึ้น เลยทำให้รถดูแคบไป จากเมื่อก่อนที่แค่เอนเบาะหลังลงไป ก็นอนกันสบายทั้งสองคน แต่ตอนนี้ เจ้าเหมคนโตต้องนอนงอเข่าคุดคู้ แทรกตัวอยู่บนกองสัมภาระ เสียงทะเลาะกันบ้าง หยอกเล่นกันบ้างยังแว่วมาเป็นระยะ จากข้างหลัง ยามที่เสียงเงียบไป ก็คือตอนที่ทั้งคู่สามัคคีกันกดเล่นเกมส์จากโทรศัพท์มือถือที่มีคนละเครื่อง อีกอย่างที่ทำให้ผมตัดสินใจพาลูกเดินทางในครั้งนี้ ก็เพื่อให้พวกเค้าออกห่างจากการติดเกมส์คอมพิวเตอร์ที่บ้าน ผมเคยเป็นเด็กติดเกมส์มาก่อน แม้จะพอเห็นประโยชน์ของมันอยู่บ้างในการที่ทำให้เรามีความคิดที่รวดเร็วรู้จักแก้ปัญหา และมีความทันสมัย แต่ก็ไม่อยากเห็นลูกๆ หมกมุ่นกับมันจนมากเกินไป