วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทำอะไรดี...หว่า???

เว้นการเขียนบล็อค แป๊บเดียว เดือนกว่าแล้ว เหรอเนี่ย!!! หลายสิ่งเข้ามาในชีวิตมากมาย จนแทบจะตั้งรับไม่ทัน มีเรื่องจะเล่าเยอะแยะจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน ...

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านนอกเข้ากรุง 1 วันกับเอกชัย








ตัวเลขสีเขียวเรืองของนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโทรลหน้ารถ บอกตัวเลข 10.34 เกือบสี่ทุ่มครึ่งแล้วผมยังติดแหง็ก อยู่บนถนนสายผ่าใจกลางกรุงเทพ เป้าหมายคือบ้านพี่เอกที่ลำลูกกา ปทุมธานี รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมออกมาในมือทั้งสองข้างที่กุมพวงมาลัย ใจยังนึกโมโหตัวเองที่สะเพร่า พลาดจากเส้นทางแยกขึ้นทางด่วนสายวงแหวนรอบนอก อันเป็นเส้นทางมุ่งตรงสู่เป้าหมายโดยไม่ต้องเลี้ยวไปไหน ทั้ง ๆที่"อีนังจีจี้" เครื่อง GPS นำทางได้บอกก่อนแล้ว ว่า " อีก 2 กิโลเมตร ชิดซ้าย ขึ้นทางด่วน" การขับรถในกรุงเทพ อย่างที่รู้พลาดแล้วก็พลาดเลย จะหาทางกลับง่ายๆเหมือน ถนน รพช แถวบ้านเราคงยาก "จีจี้" คงทำหน้าที่ของมันต่อไป ด้วยเข้าใจว่าผมคงไม่อยากขึ้นทางด่วน อยากขับรถหาประสปการณ์ให้ชินเส้นทางในกรุงเทพฯ เลยทำเส้นทางให้ใหม่ ซะยังกะเส้นทางแข่งรถแรลลี่
"เอาก็เอาวะ ดึกป่านนี้ถนนข้างล่างก็น่าจะว่างแล้ว" ฮ่า ๆๆๆ อยากจะหัวเราะให้กับความคิดสะเหร่อๆ ของตัวเองจริงๆ หลังจากติดหนึบอยู่บนถนนอะไรก็ไม่รู้ เกือบ 20 นาทีแล้ว
เกือบเที่ยงคืนผมก็ถึงจุดหมาย บ้านพี่เอกปิดไฟมืด คงจะนอนกันหมดแล้ว ผมขนกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถ กดกริ่งเรียก เจอลูกอ๊อด ชีฟอง กับป้าโหน่ง ยังไม่นอนกัน ส่วนพี่เอกขึ้นห้องนอนไปแล้ว นั่งคุยกับสมาชิกอยู่พักใหญ่ ก็ขอตัวขึ้นไปนอน



เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นนอนแต่เช้า นั่งอัดรายการและสปอตเสร็จก็เกือบเที่ยง พี่เอกลงมาพอดี สวัสดีทักทายเจ้าของบ้านแล้วก็นั่งพูดคุยกันไปพร้อมกับกินข้าวเช้าข้าวเที่ยง รวมในมื้อเดียวกัน ส่วนใหญ่พวกเราก็เป็นแบบนี้แหละครับ เรื่องอาหารเช้าไม่เคยแตะต้องมานานแล้วอย่างเก่งถ้าตื่นเช้ามากๆ แล้วหิว กาแฟซักแก้วก็ "อยู่เกียร์" แล้วล่ะครับ วันนี้พี่เอกมีภาระกิจต้องไปหลายที่ผมเลยมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย ผมคิดว่าหลายท่านคงอยากรู้ว่า ในแต่ละวัน เอกชัย ศรีวิชัย นักร้องซุปเปอร์สตาร์ (หรือซุปเปอร์สะตอ) ของชาวใต้ทำอะไรบ้าง เงินทองก็มีเยอะแยะคงจะหรูหราฟู่ฟ่า ชอปปิ้งห้างดังมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแบบสังคมไฮโซ หรือเปล่า ตามผมมาครับ....
คิวงานที่พี่ชิ อนุชา ผู้จัดการของพี่เอกวางไว้ในวันนี้คือการเดินสายโปรโมทคอนเสิร์ต "เอกชัยท้ากัด" ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์หน้า ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณสิบวันเท่านั้น เป้าหมายแรกที่เราไปวันนี้คือสถานีวิทยุแห่งหนึ่งแถวห้วยขวาง ซึ่งมีคนปักษ์ใต้บ้านเราขึ้นมาอยู่อาศัยในเขตนี้มากเป็นอันดับต้นๆ พี่เอกได้รับการต้อนรับอย่างดีจากสายที่โทรเข้ามาพูดคุยในรายการ และแฟนเพลงที่มารอซื้อบัตร มาขอถ่ายรูปถึงสถานี สัมภาษณ์เสร็จระหว่างที่นั่งรถออกจากสถานีเพื่อจะไปอัดรายการ "ไนท์เอ็นเตอร์เทน" พี่ชิต้องรับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาจองซื้อบัตรจนสายแทบใหม้
ท้องเริ่มร้องจ๊อก ขณะที่รถแล่นผ่านร้านอาหารที่เรียงรายทางเข้าช่อง 9 เราได้แต่ชะเง้อมองเพราะไม่มีเวลาที่จะแวะกินอะไรได้เลย ทีมงานส่วนหนึ่งไปรออยู่ก่อนแล้ว พอพี่เอกไปถึงก็เข้าห้องแต่งตัวพร้อมกับพระเอกลิเกชื่อดัง "ไชยา มิตรชัย"เดินทางมาถึงโดยมี"แม่ยก" ตามมาเชียร์ประมาณเกือบ 20 คน
"วันคอนเสิร์ต แม่ยกไชยาต้องดูให้จบนะ" พี่เอกพูดกระเซ้า "แม่"คนหนึ่ง ซึ่งดูท่าทางจะเป็นหัวโจกระหว่างกำลังประสานเรื่องบัตรชมคอนเสิร์ตอยู่กับพี่ชิ
"วันก่อน แม่ยกไชยานี่ล่ะยกกันมาเป็นร้อย มากรี๊ดไชยาคนเดียวเลย พอไชยากลับนักร้องคนอื่นจะขึ้นร้องต่อ เหลือแต่เก้าอี้แล้ว แม่"ยก" ขบวนกลับตามไชยากันหมดเลย "
"โอ๊ย งานนี้ไม่กลับก่อนหรอกจ้า บัตรแพง เนี่ย จองบัตรสองพันทั้งนั้นเลยนั่งข้างหน้าทั้งหมดจะได้เห็น น้องเอ ชัดๆ"
ออกจากช่อง 9 ก็เย็นมากแล้ว เราฝ่าการจราจรที่ติดขัดมุ่งหน้าไปที่แฟลตคลองจั่นเพื่อไปพบปะกับแฟนเพลง พี่ชิ บอกว่าที่นั่นเป็นจุดศูนย์รวมของคนใต้ เป็นเหมือนถนนคนเดินที่มีร้านรวงต่าง ๆเปิดขายอาหารและของใช้ในตอนเย็น พอไปถึงก็มีทีมงานจัดรถโมบายรอเราอยู่แล้วเป็นรถเก๋งติดเครื่องเสียงและจอ LCD เปิดมิวสิคชุดหมอลำใต้เคลื่อนขบวนไปพร้อมกับที่พี่เอกพาชาวคณะแดนเซอร์เดินพบปะแฟนเพลงเพื่อบอกข่าวคอนเสิร์ตใหญ่ ผมเพิ่งจะเข้าใจคำว่า "โรดโชว์" ในวันนี้เอง (ฮ่า ฮ่า) เสียงกรี๊ด เสียงทักทายพี่เอกดังแทรกตลอด ทางที่ขบวนเคลื่อนผ่านไป กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารนานาชนิด ทั้งของหวานของคาว ของทอดของย่าง เพิ่มความหิวให้มากขึ้นไปอีกผมรู้ว่าพี่เอกก็หิวจนแทบจะไม่มีแรงเดิน แต่ก็ต้องทนทำหน้าที่ให้เสร็จก่อน จากตลาดข้างแฟลตคลองจั่นก็ไปเดินต่อที่ตะวันนา กว่าจะเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม หิวจนหายหิวแล้วล่ะครับ เพราะงานวันนี้ยังไม่จบ จุดสุดท้ายคือต้องไปออกรายการสด ของ"น้าหลวง"ราเชนทร์ กิ่งทอง ที่ช่องทีวีดาวเทียม P5 คืนนั้นกว่าจะถึงบ้านที่ลำลูกกา ก็เกือบตี 1 กินข้าวแล้วแยกย้ายกันเข้านอนครับ พี่เอกบอกว่า ชีวิตทุกวันเป็นแบบนี้ออกจากบ้านทำงานจนลืมกินข้าว ถ่ายหนังถ่ายละครทำงานไม่มีวันหยุด แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำงาน ...
เช้าวันที่ 10 กันยายน 2553 พี่เอกตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะวันนี้เป็นวันเกิด คำถามที่หลายคนถามผมบ่อยๆ ยามคุยกันเรื่องเอกชัย
"หมันอายุเท่าใดแล้ว เอกชัยฮั้น ?"
"อื้อ แค่อี้ห้าสิบแล้วป้าเหอ"
"ฮ๊าย แล้วเห็นยังหน้าเด็กอยู่เหลย อ่อนหวาเราไม่เท่าใดนิ"
พวงมาลัยดอกมะลิพวงน้อย ที่พี่เอกบรรจงวางบนตักแม่เรียงคือสิ่งแทนความรู้สึกทั้งมวล คำอวยพรจากปากแม่คือสิ่งมีค่าและศักดิ์สิทธ์กว่ามหามนตราบทใดในโลก
วันนี้พี่เอกอายุครบ 49 ปี ย่างเข้า 50 แล้วแต่เพราะการเริ่มดูแลสุขภาพมากขึ้นของพี่เอกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทำให้แกดูสดใสปราดเปรียวขึ้น การเดินทางของชีวิตที่ผ่านทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ทำให้จิตใจปล่อยวาง นั่นเป็นเหมือนยาปฎิชีวนะ ที่ไปช่วยสมานแผลในหัวใจเรื่องร้ายในชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากทำใจได้ชีวิตก็มีแต่ความสุข ความสุขที่พี่เอกมอบให้คนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามที่ตัวเองทุกข์ ยากจะมีคนเข้าใจ...

ทั้งที่หัวใจฉันทุกข์เต็มอิ่ม
ยังฝืนยิ้มให้โลกคลายเหงา
ใครจะรู้บ้างเล่า ฉันเป็นนักเพลงคนเศร้า
ทนเหงาอยู่ในดวงใจ
ฉันเฝ้าร้องเพลงให้เขามีสุข
ทนแบกทุกข์แทบสู้ไม่ไหว
ดูเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ ใครจะรู้หรือไม่
หัวใจฉันเปื้อนน้ำตา
เหนื่อยเหลือเกินหนอชีวิต
ไม่มีสิทธิ์หยุดความเมื่อยล้า
อ่อนใจคนรักมาหักอุรา ชื่อฉันดังก้องฟ้า
อนิจจาหัวใจเป็นแผล
ทั้งที่หัวใจของฉันร้องไห้
ยังยิ้มไว้มิได้ยอมแพ้
ยามใดหัวใจฉันแย่ โผกายซบลงตักแม่
ให้ท่านดูแลซับหยาดน้ำตา...

สุขสันต์วันเกิดครับ...พี่เอก







วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แหลงข่าว ออนทีวี





แก้ข้อสงสัยให้หายงงกันก่อน เรื่องแหลงข่าวออนทีวี คุณคงสงสัยว่าคืออะไร กำลังจะทำอะไรกันเหรอ ก็เป็นก้าวใหม่ๆในชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นครับ อีกไม่นานจะมาเฉลย ส่วนโลโก้เอโคทีวี เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วอัพให้พี่ๆ ที่กรุงเทพดูแนวทางเฉยๆ

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อลังการงานช้าง 4 คืนอัศจรรย์ ที่เทพา (หลังจากเข้าใจผิดเป็นนาทวี...ฮา)


แสงไฟหน้ารถส่องสว่างจ้า สาดไปตามถนนคดเคี้ยวสองเลนแคบๆ บนเส้นทางจาก ต.ลำไพล สู่ อ.นาทวี เสียงเครื่องยนต์ผสมเสียงแอร์ดังเบา ๆ สลับกับกับเสียงครืดคราด ยามล้อเล่นตะบึงไปบนถนนที่ไม่เรียบเป็นบางครั้ง ผมปรับเบาะตอนหลังรถเอนลงจนสุด เงาวูบวาบของต้นไม้ข้างทางแล่นสวนผ่านทางหางตาไปเป็นระยะ ช้าบ้างเร็วบ้างตามความเร็วของรถ
"เหยียบอย่าให้เกินร้อยนะคิม ช้าๆหน่อย"
ประสปการณ์จากอุบัติเหตุรถมอเตอรไซด์พ่วงข้าง หรือซาเล้ง เลี้ยวตัดหน้า ชนรถผมจนพังยับทั้งแถบเมื่อสองเดือนที่แล้ว ทำให้ผมร้องเตีอนคนขับให้ขับช้าลง ทั้งๆที่ชะโงกหน้าไปมองหน้าปัด เห็นเข็มไมล์ยังขึ้นไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ
"ยังไปกันหล่าว (อีก) นะคู่นี้ ยังไม่เข็ดเหรอ" บางคนในวงแซวมาหลังจากเห็นผมมากับคิมในรถคันเดิม อุบัติเหตุกับการเดินทางเป็นของคู่กันอยู่แล้วโดยเฉพาะพวกเราที่มีอาชีพต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา พี่แป๊ะเท่ง ตลกในวง มีรถสี่ห้าคันทุกคันเคยพลิกคว่ำ มาแล้วทั้งนั้น แม่แต่พี่เอกเอง ก็เคยเจออุบัติเหตุหนักๆ มาแล้วหลายหน เช่นขับรถแหกโค้งพลิกคว่ำหลายตลบ แต่ตัวพี่เอกไม่เป็นอะไรเลย จนโค้งนั้นเค้าเรียกว่า"โค้งเอกชัย" มาถึงทุกวันนี้ (ถ้าผมจำไม่ผิด อยู่ระหว่างเส้นทาง อ.คุระบุรี ถึง อ.กะปง จ.พังงา) ที่ผมกับคิมเจอมาแค่เบาะๆอย่างน้อยเราทั้งคู่ก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ถือเป็นบทเรียน หลังจากวันนั้นคิมก็ขับรถช้าลงเยอะ มีสติมากขึ้น พอเปิดวงอีกครั้งทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่คิดอะไรมาก แล้วก็แล้วกันไป ใครขับไหวก็ช่วยกับขับอย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยดีกว่าเดินทางคนเดียว

เราออกจากสนาม ร.ร.บ้างวังใหญ่ อ.เทพา ประมาณเที่ยงคืนเศษ หลังคอนเสิร์ตเลิก บนถนนทางแยกเข้าบ้านวังใหญ่คราคร่ำไปด้วยรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ และผู้คนที่แย่งกันออกจากสนาม ที่ขับตามหลังผมมาเป็นรถตู้คันที่พี่โทง ทองแดง เป็นคนขับ เสียงทักทายส่งศิลปินที่เค้าชื่นชอบยังดังแว่วมาจากรถคันหลัง จากสถานะการณ์ความไม่สงบ ในสามจังหวัดชายแดนใต้ทำให้ไม่ค่อยมีศิลปินวงไหนกล้าเข้ามาเปิดการแสดงบ่อยนัก เลยจากตรงนี้ไปก็เข้าเขต จ.ปัตตานีแล้ว นี่คงจะเป็นใต้สุดที่เราจะมาเล่นได้ ลงไปกว่านี้คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง คอนเสิร์ตคืนนี้จึงเป็นอีกคืน ที่รวมแฟนเพลงเอกชัยมาจากหลายๆที่ ไม่ว่าจะเป็น ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รวมๆแล้วเป็นหมื่นคน ตอนที่มาถึงสนาม ราวสี่โมงเย็น ก็มีผู้คนซื้อบัตรเข้าไปจนเกินครึ่งสนามแล้ว การแสดงคืนนี้จึงจบลงด้วยความสุขของศิลปินและ ความอิ่มเอมใจของชาวบ้านแถบนี้ที่เค้าได้มีโอกาสชมวงดนตรีที่เค้าชื่นชอบและรอคอยในรอบหลายปี ...

ป.ล. ขอบคุณพี่ที่เทพาเรดิโอนะครับที่ช่วยบอกว่าตรงนั้นเป็น อ.เทพา ผมก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นแหละครับ ตั้งแต่ก่อนงานแล้วก็ยังเถียงกับฝ่ายทำบุ๊ค เค้าก็ยืนยันนาทวี เอ๊า วีก็วี สปอตรถแห่ ผมก็อ่านไปเป็นนาทวี ค่อยแก้ไขให้ใหม่ในงานต่อไปครับส่วน พี่สห.ที่ถือปืนยืนบนเวที ก็โปรดเข้าใจเถอะครับว่า พวกเราไม่เคยลงใต้ลึกขนาดนี้มาก่อนในรอบห้าหกปี.







วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อลังการงานช้าง 3 (สัญจรนอนวัด)



(อาทิตย์อัศดง ณ ตลาดร้อยปีคลองแดน ถ่ายแบบพาโนรามา แต่ตั้งแสงผิดเลยสวยไปอีกแบบ )






คอนเสิร์ตที่นครคืนนั้นจบลงประมาณเที่ยงคืนเศษ ผมขับรถฝ่าความหนาแน่นของรถแฟนเพลงเอกชัยออกมาจากหลังเวทีอย่าทุลักทุเล โรงแรมเกียรตินครซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามคือจุดหมายที่ผมจะเอนกายในคืนนี้....

เช้าวันใหม่ วันหยุดวง 2 วัน ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดว่าผมจะใช้เวลาสองวันนี้อย่างไร หากจะขับรถกลับบ้านที่ชุมพรก็คงจะเปลืองน้ำมันมากโขอยู่ เพราะคิวต่อไปในวันที่ 7 ส.ค. วงจะอยู่ที่สนาม อ.นาทวี เมื่อวานซืนผมมาที่สตูลจากชุมพรเติมน้ำมันไปแล้ว 2 ถัง สามพันกว่าบาท แม่เจ้า...หากให้ตีรถกลับไปกลับมาค่าตัวหมดแน่ "คลองแดน..." ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในหัวสมองตื้อๆ ของผม "นอนวัดดีกว่า..." ใจคิดไปถึงหลวงวิทย์ พระที่รู้จักนับถือกันท่านเป็นชาวคลองแดน บวชมาหลายพรรษา เคยไปอยู่ธรรมรัตน์ แต่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดคลองแดนหลายปีแล้ว

หลังจากอัดรายการและทำสปอตเสร็จ ตามคำสั่งเจ้านายที่บ้านแล้ว ผมเดินทางมุ่งหน้าสู่ อ.ระโนด โดยแวะกินข้าวมันไก่รองท้อง ที่ร้านแก้วโอชา อยู่เลยวัดพระธาตุ ไปนิดนึง เสียดายผมมาช้าไป หมูสะเต๊ะจานสุดท้ายถูกกลุ่มอาซิ้มที่มาเป็นคณะทัวร์โต๊ะข้างๆ สอยไปจนหมด แต่ข้าวมันไก่ ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม

หลังจากเติมพลังคนพลังรถเรียบร้อยแล้ว ผมมุ่งหน้าออกเส้นทางสู่ อ.ระโนด ถนนสี่เลนขับสบายมาจนก่อนถึง อ.เชียรใหญ่ อยู่ๆ ถนนก็หดเหลือสองเลน นึกถึงคำพูดบนเวทีของพี่เอก ที่ว่า "ขับรถบ้านเราต้องระวังให้ดี อย่าเพลิน สี่เลนอยู่ดีๆ มันจะหุบเหลือสองเลนโดยไม่รู้ตัว ฮ่า ฮ่า " เกือบจะถึงทางเลี่ยงเมืองเข้า อ.หัวไทร ใจนึกถึง "พี่บ่าวมุ่ย" เจ้าของสถานีวิทยุที่นับญาติกันแล้ว อยากแวะไปหา แต่ดูเวลาแล้ว เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน เดี๋ยวจะยาว....

ภาพวัดคลองแดนที่ผมเคยมาอยู่ตอนบวชเณร เมื่อยี่สิบปีที่แล้วกับวันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้ร่มครึ้มเป็นระเบียบแทรกตัวอยู่ทั่วบริเวณพื้นทรายขาวสะอาด ทั่วทั้งวัดหาเศษใบไม้แทบไม่ได้บ่งบอกถึงการดูแลสถานที่เป็นอย่างดีของผู้อาศัย หลวงวิทย์มีอาการตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมโผล่มาแบบไม่คาดคิด อาการเกาหัว กับรอยยิ้มเป็นมิตรคือสิ่งที่ผมชินตายามเจอท่านทุกครั้ง

"มาได้พรือ ? แถวนี้เขาฟังรายการทุกวัน" คือคำทักทายคำแรกที่ผมได้ยิน

"แรกคืน (เมื่อคืน) เล่นที่คอน คืนนี้เลยมาขออาศัยนอนสักคืน เบื่อนอนโรงแรมแล้ว"

"ตามบายเลย..." หลวงวิทย์บอก พร้อมกับที่ท่านพระมหาปราโมทย์ เจ้าอาวาสวัดองค์ปัจจุบันเดินเข้ามาสมทบ ผมยกมือใหว้ท่าน

"เห็นรถแล้ว ยังแหลงกับพระว่าคุ้นๆ รถคันนี้ " ท่านพูดยิ้มๆ ผมเหลือบมองพระหลายองค์ที่ชะเง้อเมียงมองมาทางผม ที่ระโนดรายการแหลงข่าวชาวบ้านของผมเรตติ้งดีพอสมควร โดยออกอากาศทางคลื่น 93.75 MHz ทูซีเรดิโอ

"ครับ ว่ามาขออาศัยวัดนอนสักคืน" ผมขออนุญาตกับท่านสมภารหนุ่มแห่งวัดคลองแดนอีกครั้ง ซึ่งท่านก็อนุญาตทันที ก่อนจะเข้าไปนั่งคุยกันในกุฎิได้สักพัก ก็ถึงเวลาทำวัตรเย็น แม้ผ่านวันเข้าพรรษามาหลายวันแล้วแต่ก็ยังมีญาติโยม เข้ามาทำวัตรเย็นร่วมกับพระจำนวนหลายคนซึ่งอาจจะแตกต่างจากวัดอื่นตรงที่ส่วนมาก จะเข้ามาเฉพาะ "หัวษา" หรือช่วงสองสามวันหลังวันเข้าพรรษาแล้วเท่านั้น แต่ชาวบ้านที่นี่จะเข้ามาทำวัตรเย็นทุกวันตลอดพรรษา คือสามเดือน ผมถือโอกาสให้หลวงวิทย์พาเดินทัวร์ทั่ววัด และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของหลายสิ่งหลายอย่าง
"คลองแดน"คือชื่อคลอง และชื่อชุมชนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองเล็กๆ อันเป็นเส้นแบ่งเขตกั้นสองจังหวัด ฝั่งวัดขึ้นอยู่กับ ต.รามแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช แต่อีกฝั่งคลองที่เชื่อมโยงด้วยสะพานไม้ที่ชาวบ้านร่วมใจกันสร้างขึ้นคือ ต.คลองแดน อ.ระโนด จ.สงขลา ลำคลองตรงใต้สะพานถูกปิดกั้นด้วยกระสอบทราย เป็นการป้องกันน้ำเค็มจากการทำนากุ้งไม่ให้ไหลผ่านไปสู่ลำคลองด้านล่าง ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้น้ำในคลองแห่งนี้ทำนาปลูกข้าวมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด

"ธรรมดาหน้านี้ น้ำหลังเขื่อนนี่เต็มคลองแล้ว แต่ปีนี้แล้งหนัก ชาวบ้านทำนาไม่ได้เพราะไม่มีน้ำ" หลวงวิทย์บอกพร้อมกับชี้ให้ดูสภาพแห้งขอดของลำคลองหลังเขื่อน ซึ่งต่างจากหน้าเขื่อนกั้นที่ยังพอมีน้ำอยู่บ้างแต่ไม่มากนักและเป็นน้ำกร่อยถึงเค็ม ผมหวลคิดถึงเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ที่ผมมาคลองแดนทุกครั้งก็จะได้เห็นน้ำเต็มคลองทุกที ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน





ตลอดเวลาที่ผมเดินดูทั่ววัด ก็สะดุดตากับแผ่นป้าย บอกสถานที่ท่องเที่ยวของชุมชนคลองแดน ที่แทรกอยู่ทั่วบริเวณ กำลังจะถามหลวงวิทย์ ว่านี่คืออะไร ก็พอดี "พี่โย" พี่ที่ผมคุ้นเคยอีกคนก็ขับมอเตอร์ไซด์เข้ามาในวัด ผมรีบทักทายอย่างดีใจ เพราะรู้จักและเจอพี่โยทุกครั้งหลังเวทีเอกชัยยามมาเล่นระโนด หลังจากพูดคุยกันสักพักผมจึงได้รู้ว่าการมานอนวัดของผมในวันนี้เป็นสิ่งที่ไม่เสียเวลาเปล่าเลยสำหรับสิ่งที่ผมจะได้พบเห็น โดยการนำทัวร์ตลาดร้อยปีคลองแดนของพี่โยและหลวงวิทย์




จากคำบอกเล่าของพี่โย ซึ่งเป็นลูกคลองแดนขนานแท้แต่กำเนิด บอกว่าเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วชุมชนคลองแดนถือเป็นชุมชนใหญ่ในยุคสมัยที่ความสะดวกสบายในการเดินทางโดยถนนยังไม่เกิดขึ้น การเดินทางสัญจรทางน้ำคือทางเลือกเดียวในการเชื่อมโยงและค้าขายของผู้คนต่างถิ่นกัน คลองแดน ได้รับการขนานนามว่า เป็น "สามคลองสองจังหวัด" เป็นจุดนัดพบของสายน้ำที่ไหลรวมกัน ณ ที่นี้ นำพาผู้คนหลั่งไหลมาสู่คลองแดนจนทำให้กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีร้านรวงต่างๆ ครบครันในสมัยนั้น พี่โยชี้ให้ดูตู้โชว์ทองคำเก่าคร่ำคร่าที่ถูกทิ้งร้างอยู่ชายคาบ้านหลังหนึ่ง หลังจากร้านทองย้ายไปจากคลองแดนเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
"เมื่อก่อนที่นี่มีร้านทอง สี่ห้าร้าน มีโรงสี มีร้านค้าใหญ่โตมากมาย ของซื้อของขายมีทุกอย่าง"
พี่โยเล่าถึงความเจริญแต่หนหลังที่ตัวเองยังพอจำได้ ผสมกับคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อน และสรุปให้เห็นสาเหตุของการล่มสลายของตลาดคลองแดน ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา จนมาถึงสิ่งที่พี่โย และชาวคลองแดนกำลังทำกันอยู่ในเวลานี้คือการพยายามจะพลิกฟื้นภาพเงาอันเลือนลางในอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ของตลาดคลองแดน ให้คนรุ่นหลังได้เห็นโดยความร่วมมือของ วัด ชุมชน และหน่วยงานภาครัฐ


ผมเก็บภาพตามคำบอกเล่าของพี่โย ด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือ แต่เหมือนภาพเงาแห่งความงดงามในอดีตของคลองแดนจะเปล่งประจายเจิดจ้าจนบางรูป สวยจนตากล้องมือสมัครเล่นอย่างผมอดแปลกใจไม่ได้ พี่โยกับหลวงวิทย์พาผมเดินไปบนสะพานไม้ที่ชาวบ้านทอดผ้าป่าร่วมสร้างกันขึ้นมา ให้เชื่อมโยงถึงกันตลอดสองฝั่งคลองหลังจากที่มันได้สลายหายไปพร้อมกับการโยกย้ายร้านไปหาทำเลค้าขายที่อื่นของบางร้าน สะพานไม้ที่ขาดช่วงเดินไม่ถึงกันในอดีตคือสิ่งที่ทำให้ตลาดคลองแดนซบเซาลงอย่างรวดเร็ว
"เมื่อก่อน บ้านตาเคล้ากับยายปริกอยู่ตรงนั้น "
พี่โยชี้ให้ดูเสาตอม่อ กลุ่มหนึ่งที่แทรกตัวผุดโผล่อยู่ริมเลนชายคลอง พร้อมกับบอกว่าเคยเป็นบ้านของน้องสาวแท้ๆของคุณตาของผม ภาพหญิงชราร่างเล็กผมสีขาวทั้งหัว ตายิบหยีเวลายิ้มอย่างคนแก่ใจดี ผุดขึ้นมาในความคิด ผมจำภาพยายปริกได้ดีตอนที่ผมยังเป็นเด็กครั้งหนึ่งผมไม่สบายนอนซมอยู่ที่บ้าน พิษไข้ร้อนผ่าวไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีมือเย็นๆ มาลูบหัว และเสียงแม่บอกว่า "ยายมาเยี่ยม..." ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก รอยยิ้มนั้นผมยังจำไม่เคยลืม ยายมาพร้อมกับองุ่นหนึ่งถุง
"หายเร็วๆ นะลูก" ยายบอกพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น ต่อมาแม่เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนยายปริกกับตาเคล้า เคยค้าขายอยู่ตลาดคลองแดน จนมีฐานะ ก่อนจะย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ธรรมรัตน์ ยายมีลูกหลานหลายคน รวมถึง "มะเดี่ยวศรีหลานยายปริก" ด้วย


สะพานไม้ทอดวกวนเลียบลำคลองก่อนจะเชื่อมโยงไปสู่อีกฝั่งด้วยสะพานไม้ท่อนขนาดใหญ่ เราเดินข้ามมายังร้านขายยาเก่าแก่ที่ยังเปิดกิจการอยู่โดยลูกหลานในรุ่นที่สามแล้ว หน้าร้านเป็นเวทีการแสดง พี่โยบอกว่าทุกวันเสาร์จะมีการจัดตลาดย้อนยุค มีนักท่องเที่ยวเข้ามามาก จึงมีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมหรือดนตรีโฟล์กซองให้ชมฟรี บ้านโฮมสเตย์ของ อ.สายัณห์ คือบ้านหลังแรกๆที่เปิดรับนักท่องเที่ยวริมคลองตลาดคลองแดน โดยดัดแปลงบ้านไม้เก่าอายุเกือบร้อยปี ให้เป็นที่พัก มีนักท่องเที่ยวหรือนักศึกษามาพักอยู่เป็นประจำ ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาพร้อมกับไฟโคมที่เรียงรายอยู่ริมคลองเริ่มส่องสว่าง เงาเหลืองสว่างจ้าสะท้อนพื้นน้ำสีดำ แลดูขัดแย้งกัน แต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด อ.สายัณห์พาไปดูการทำหุ่นตุ๊กตามโนราห์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่มาสอนวิธีการทำให้ชาวบ้านผลิตเป็นของฝาก จำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว จนได้เวลาพอสมควรพร้อมกับท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ พวกเราจึงเดินกลับมาแวะกินข้าวมื้อเย็นที่บ้านพี่โยซึ่งอยู่สามแยกหน้าวัดนั่นเองส่วนหลวงวิทย์ ไม่ฉันข้าวเย็น(ฮา....)จึงปลีกตัวไปคุยกับโยมแม่ที่บ้าน ซึ่งอยู่คนละฝั่งถนน


สำรับกับข้าวแบบง่ายๆ ถูกยกมาวางบนเสื่อ อาหารมื้ออร่อยอีกมื้อหนึ่งของผมจึงเริ่มขึ้นพร้อมกับเรื่องราว มากมายที่พรุ่งพรูออกมาจากคำบอกเล่าของพี่โย ทั้งเรื่องประวัติตลาดคลองแดน เรื่อง"พระทอง" ที่ถูกทาสีดำไว้ในวัดมาหลายร้อยปี จนวันหนึ่งถูกค้นพบว่าเป็นทองแท้ประเมินค่ามิได้โดยบังเอิญ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของตาหลวงพร้อม ตาหลวงชุม เรื่องช้างค่อม ช้างแกลบ หรือช้างแคระ แห่งทุ่งระโนดที่พี่โยเอากระดูกกรามช้างมาให้ดู บางเรื่องฟังแล้วเหมือนนิทานปรัมปรา มีอภินิหารอันเหลือเชื่อ ผมฟังไปด้วยกินไปด้วยจนข้าวหมดหม้อไม่รู้ตัว (ฮา...)




กว่าจะเดินกลับมาในวัดก็เกือบสามทุ่ม กุฎิพระบางหลังยังเปิดไฟสว่างพระหนุ่มหลายรูปยังจับกลุ่มคุยกันอยู่ พวกเราเดินไปที่กุฏิหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระทอง และเป็นกุฎิเจ้าอาวาส


ผมกราบนมัสการพระทองแล้วนั่งคุยกันท่านมหาปราโมทย์ อยู่จนดึก ได้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างทั้งเรื่องการพัฒนาวัด เรื่องพัฒนาคนโดยวัดคลองแดนเป็นศูนย์ฝึกอบรมนักเรียนนักศึกษา มีการนำนักเรียนมาเข้าค่ายคุณธรรมในวัดเป็นประจำ การบวชเณรภาคฤดูร้อนซึ่งจัดติดต่อกันมาสิบกว่าปีแล้ว ทุกปีมีเด็กมาบวชกันมากขึ้น และจะมีที่ไม่ลาสิกขา ขอเรียนต่อทางธรรมโดยตอนนี้ ทางวัดคลองแดนส่งให้เณรเรียนอยู่สิบกว่ารูป ทั้งทางโลกระดับมัธยม และเปรียญธรรม โดยใช้ทุนส่วนตัว ที่ท่านมหาไปเทศน์มาบ้าง พระในวัดไปสวดมาบ้าง ได้ปัจจัยมาก็แบ่งๆกันไปตามที่มี ผมก็เลยรับปากว่าจะคุยกับพี่เอกเรื่องดึงทุนมาช่วยวัดคลองแดนบ้าง เพราะเอกชัย ตั้งใจจะหาทุนส่งพระเณรเรียน และได้มีการมอบถวายทุนไปจำนวนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว โดยเรื่องนี้พี่เอกมอบหมายให้ผมช่วยดูแลอยู่ นั่งคุยกันจนดึกพอสมควร ก็ได้เวลาไปนอนครับ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้นอนห่มจีวร ผ้าผืนบางๆที่คุ้นเคยและอบอุ่นหลับสบายดีเหมือนเดิม

(ที่นอน คืนนี้ครับ)

ผมตื่นเกือบแปดโมง ทั้งๆที่ตั้งใจจะลุกขึ้นมาช่วยหลวงวิทย์กวาดลานวัดตอนหกโมงเช้า แต่นอนเพลินไปหน่อยหลวงวิทย์ท่านก็ไม่ปลุกด้วยคงจะสงสารปล่อยให้นอนเต็มที่ นานๆจะนอนบนพื้นกระเบื้องแข็งๆแบบนี้ซักทีก็มีอาการปวดหลังนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร เมื่อก่อนชีวิตก็เคยชินอยู่กับแบบนี้ตอนหลังนอนฟูกจนเคยตัวแค่นั้นเอง ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วนั่งทำงานต่อ หลวงวิทย์เอาข้าวและกับข้าวใส่บาตรมาให้จนเต็ม



จนเกือบเที่ยงจึงอาบน้ำกินข้าว อัดรายการและสปอตเสร็จเรียบร้อยช่วงบ่าย กราบลาหลวงวิทย์และท่านมหาปราโมทย์ออกเดินทาง มาบ้านพี่เอกที่นาหม่อม กินข้าวมื้อเย็นที่บ้านพี่เอกแล้วมาเปิดห้องนอนที่ "ภูไม้หอมรีสอร์ท"ใกล้ ๆบ้านพี่เอก เริ่มต้นนอนวัดจบที่นอนโรงแรมตามเคย...เฮ้อ ...ชิวิต ราตรีสวัสดิ์ครับ





ป.ล. เริ่มเขียนที่วัดคลองแดน เขียนเสร็จ ที่ ภูไม้หอมรีสอร์ท จ.สงขลา เวลา 01.35 น. วันที่ 7 ส.ค.2553